เชื่อว่าทุกวันนี้ หลายๆ คนส่วนใหญ่ก็มักจะมีรถยนต์ส่วนตัวเอาไว้ใช้งานกันอยู่แล้ว เพื่อความสะดวกไม่ว่าจะเป็นหน้าฝนหรือหน้าร้อน แต่เมื่อเรามีรถยนต์แล้ว สิ่งที่ผู้ใช้รถควรรู้ไว้
นั่นคือการดูแลรักษาเบื้องต้น เพื่อไม่ให้รถของคุณนั้นเกิดเหตุขัดข้องระหว่างทาง ไม่ว่าจะไปทำงาน ไปเที่ยวหรือ โดยเฉพาะต้องเดินทางไกลไปต่างจังหวัด การตรวจเช็กรถยนต์เป็นประจำจะช่วยให้คุณปลอดภัยและขับขี่ได้อย่างราบรื่น
ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงการตรวจเช็กของเหลวในส่วนของช่วงล่างกันค่ะ นั่นก็คือ น้ำมันเบรก เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผู้ใช้รถบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่า มันต้องเช็กตอนไหนต้องเติมเมื่อไหร่ แล้วน้ำมันเบรกแบบไหนที่เหมาะกับรถของคุณ เอาเป็นว่าเราไปเรียนรู้เรื่อง น้ำมันเบรก กันเลยค่ะ
น้ำมันเบรก คืออะไร
น้ำมันเบรก คือ น้ำมันไฮโดรลิคซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางในระบบเบรกของรถยนต์ โดยเป็นตัวช่วยส่งแรงดันจากแม่ปั๊มเบรกไปยังลูกสูบเบรก ในขณะที่เราทำการเหยียบเบรกรถยนต์ เพื่อให้เกิดการเสียดสีระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรก และช่วยให้รถหยุดได้นั่นเอง น้ำมันเบรกจึงมีความจำเป็นต่อการป้องกันการสึกหรอของระบบเบรก และที่สำคัญที่สุดคือช่วยป้องกันเบรกแตก ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิตผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ รวมทั้งอาจสร้างความเสียหายให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นด้วย
น้ำมันเบรก ควรต้องเติมตอนไหน
น้ำมันเบรกแม้ว่าจะใช้หล่อลื่นได้ แต่ในทางกลับกันมันดูดซับความชื้นได้ดีมากๆ ด้วยความที่บ้านเราเป็นประเทศร้อนชื้นบวกกับพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้รถ หากสีของน้ำมันเบรกมีสีคล้ำดำ แสดงว่าน้ำมันเบรกเสื่อมสภาพแล้ว ผลเสียจากการที่น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกลดลง เบรกใช้ระยะมากขึ้น เกิดเสียงตอนเบรก ผ้าเบรกสีกับจานเบรกทำให้จานเบรกเป็นรอยหรือหัก หลังจากนั้นคือเรื่องที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ เบรกแตก นั่นเอง นอกจากอันตรายต่อตัวผู้ขับแล้ว ยังอันตรายต่อเพื่อนร่วมถนนด้วยค่ะ
เมื่อน้ำมันเบรกมีการเสื่อมสภาพได้ จึงต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรก โดยควรเปลี่ยนทุกๆ 1-2 ปี หรือทุกระยะทาง 40,000 กม. เพื่อให้น้ำมันเบรกสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ไม่ควรปล่อยเอาไว้นานเกิน 3 ปี และต้องระวังอย่านำน้ำมันเบรกคนละเกรดมาผสมกัน หากต้องการเปลี่ยนเกรดให้ถ่ายของเก่าออกให้หมดเสียก่อน
ประเภทของน้ำมันเบรก
น้ำมันเบรก ก็เป็นของเหลวชนิดหนึ่งซึ่งเอาไว้ส่งถ่ายแรงจากเท้าเราไปยังลูกสูบปั้มเบรกล่าง(คาลิเปอร์) ซึ่งเวลาเราเบรกนั้นเมื่อผ้าเบรกมีส่วนผสมของโลหะกับจานเบรกที่เป็นโลหะเสียดสีกัน ก็จะทำให้เกิดความร้อนสะสม ดังนั้นการเลือกน้ำมันเบรก ควรใช้ให้มีมาตราฐาน เพราะถ้าน้ำมันเบรกเกิดเดือดขึ้นมา
ก็เหมือนของเหลวทั่วไปเมื่อเกิดการเดือดมันจะกลายเป็นไอคุณสมบัติของเหลวไฮดรอลิคก็จะหายไป ทำให้ไม่สามารถส่งถ่ายแรงได้ พอส่งถ่ายไปไม่ได้ลูกสูบเบรกล่างก็จะไม่ถูกกดด้วยแรงที่ควรจะเป็น ทำให้ประสิทธิภาพหายไป การเลือกน้ำมันเบรกที่เหมาะสม จะมีมาตราฐานรับรอง เช่น สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ของอเมริกา(SAE) กรมการขนส่งของอเมริกา(DOT) และสมาคมกำหนดมาตราฐานระหว่างชาติ(ISO)
ประเภทของน้ำมันเบรกปัจจุบันมี 3 ประเภท คือ Dot3 Dot4 Dot5
DOT 3 จุดเดือดแห้ง 205 องศาเซลเซียส จุดเดือดเปียก 140 องศาเซลเซียส
DOT 4 จุดเดือดแห้ง 230 องศาเซลเซียส จุดเดือดเปียก 155 องศาเซลเซียส
DOT 5 จุดเดือดแห้ง 260 องศาเซลเซียส จุดเดือดเปียก 180 องศาเซลเซียส
จุดเดือดแห้ง : น้ำมันเบรกแบบใหม่แกะกล่องที่ยังไม่ผ่านการใช้งาน
จุดเดือดเปียก : น้ำมันที่เบรกที่ผ่านการใช้งานแล้วมาประมาณ 1 ปี หรือมีน้ำปนอยู่ 3.7%
โดย DOT3 และ DOT4 จะมีส่วนผสมปกติอย่าง Glycol Based ส่วน DOT5 จะมีส่วนผสมสาร Silicone ซึ่งนอกจากจะมีจุดเดือดแห้งที่สูงมากแล้ว จะทำให้น้ำมันมีจุดเดือดเปียกที่สูงขึ้นด้วยเนื่องจากสาร Selicone ทำให้น้ำมันไม่ดูดซับความชื้น ซึ่งจะทำให้การเสื่อมสภาพของน้ำมันนั้นช้ามากๆ จึงใช้ได้นาน
รถทั่วไปที่ขับบนท้องถนนส่วนใหญ่จะนิยมใช้เป็น DOT3 ก็เพียงพอแล้ว ถ้าเน้นขับเร็วจะเพิ่มเป็น DOT4 ก็ได้เช่นกัน ส่วน DOT5 นี่เตือนไว้เลยว่าห้ามใช้ปนกับชนิดอื่นเพราะมีส่วนปะสมของ Silicone base ที่ไม่ดูดความชื้น ใส่ปนกับ DOT3 หรือ DOT4 นี่เสียของ DOT5 ที่รถทั่วไปไม่นิยมเพราะใช้กับระบบเบรก ABS ไม่ได้
ปัจจัยที่ทำให้น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ
1. ความร้อน การเหยียบเบรกกะทันหันหรือเหยียบเบรกบ่อย ๆ เช่น การขับรถทางชัน ทำให้ต้องใช้ระบบเบรกค่อนข้างมาก ส่งผลให้น้ำมันเบรกซึมซับความร้อนเอาไว้แล้วระบายสู่ส่วนอื่นไม่ทัน จนเกิดความร้อนสูง หรือจุดเดือดสูงสุด ซึ่งอุณหภูมิอาจสูงได้ถึง 350-400 องศาเซลเซียส ส่งผลให้เกิดอาการเบรกไม่อยู่หรือเบรกแตก เพราะน้ำมันเบรกระเหยกลายเป็นไอในกระบอกสูบเบรกจนไม่มีแรงดันที่จะไปกระทำต่อลูกสูบเบรกให้ไปดันผ้าเบรกได้นั่นเอง
2. ความชื้น น้ำมันเบรกเป็นของเหลวชนิดหนึ่งที่สามารถดูดซับความชื้นจากอากาศได้ดี และยิ่งเมืองไทยเป็นประเทศที่มีความชื้นสูง จึงทำให้เสื่อมสภาพได้ง่าย เพราะความชื้นจะเข้าไปผสมกับน้ำมันเบรก ทำให้มีจุดเดือดต่ำลง อีกทั้งยังไปกัดกร่อนชิ้นส่วนอะไหล่ที่เป็นโลหะจนเกิดสนิมได้อีกด้วย
ผู้ใช้รถเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า น้ำมันเบรก นั้นมีความสำคัญต่อระบบเบรกของรถยนต์มากแค่ไหน ฉะนั้น ต้องหมั่นตรวจเช็คน้ำมันเบรกเป็นประจำนะคะ เพราะถ้าหากคุณไม่ตรวจเช็กหรือปล่อยปละละเลย เกิดระบบเบรกมีปัญหาติดขัดขึ้นมา อาจจะเกิดอุบัติเหตุแบบไม่คาดคิดระหว่างทางได้ แนะนำว่าควรตรวจเช็กไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถเองและเพื่อนร่วมทางด้วยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูล : เยลโล่เซอร์วิส